Thursday, February 16, 2017

ทักษะหนึ่ง ที่จำเป็นอย่างมากในการเรียนภาษาอังกฤษ   คือเรื่องของการฝึก Speaking และ Conversation หรือการฝึกพูดสนทนานั้นเอง เพราะการสนทนาจะเป็นการฝึกทักษะหลายๆ อย่างเช่น การฟัง การพูด การเรียบเรียงประโยค และการแปลคำศัพท์นั่นเอง ซึ่งการฝึกทักษะ Speaking & Conversation นี้ จะมีเทคนิคง่ายๆ ในการฝึกดังวิธีต่อไปนี้ครับ


เปลี่ยนทัศคติ ในการพูด คืออย่ากลัวที่จะพูดผิด เพราะปัญหาการกลัวการพูดผิดนั้นเป็นปัญหาที่พบได้มากของคนไทย ที่มักจะกลัวการพูดผิดอย่างมากจนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการเรียนรู้วิชาอังกฤษ ในส่วนของ Speaking และ Conversation ดังนั้นอย่ากลัวการพูดผิด ให้ลองกล้าๆ พูดไปเลย (กับฝรั่ง หรือกับเพื่อน กัลติวเตอร์) หากผิดคู่สนทนาจะช่วยปรับแก้ให้กับน้องๆ เอง

หากเครื่องมือ ที่ช่วยในการออกเสียงให้ถูกต้องเพราะสำเนียงการออกเสียง ของภาษาอังกฤษ นั้นจะมีน้ำเสียงสูงต่ำ ที่แตกต่างไปจากภาษาไทย ดังนั้นการหาพวกเครื่องมือประเภททอล์กกิ้ง ดิก มาช่วยในการฝึกอ่านออกเสียงคำ และประโยคต่างๆ ให้ถูกต้องตามสำเนียงของภาษา หรืออาจจะใช้วิธีการหาเพื่อน หรือติวเตอร์ช่าวต่างชาติมาลองสนทนาดูกันก็ได้ จะช่วยฝึกทักษะการสนทนาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ลองปรับเปลี่ยนการคิดคำ หรือประโยค ให้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ไม่ควรนึกในรูปของภาษาไทย ที่จะแปลงคำศัพท์มาเป็นภาษาอังกฤษได้ยาก นอกจากนั้นยังทำให้คิดรูปประโยคออกมาเป็นภาษาอังกฤษได้ยากเช่นกัน อีกประการหนึ่งคือยังจะทำให้สำเนียงของเรานั้นดูฝืนๆ ได้อีกด้วย

เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

อย่าลืมฝึกทักษะด้านการฟัง ก่อนการฝึกทักษะด้านการพูด เพราะว่าการฟังให้เข้าใจความหมายของประโยคนั้น จะช่วยให้เราสามารถเรียบเรียงความหมาย และแปลงออกมาเป็นรูปประโยคได้ง่าย นอกจากนั้นจะช่วยให้เราสามารถที่จะจับสำเนียง และความเร็วความช้าของประโยคได้อีกด้วย สำหรับการฝึกการฟังอาจจะเลือกฟังจากสื่อต่างๆ ของต่างประเทศ หรือจากการสนทนากับฝรั่งเองเลยก็ได้ครับ
อีกวิธีหนึ่ง ในการฝึกการฟัง คือฝึกกับติวเตอร์ตัวต่อตัวที่บ้าน ซึ่งติวเตอร์ยุคใหม่ๆ นี้จะมีความรู้และประสบการณ์ ในการสอนรูปแบบการฟังและการสนทนา เพื่อเน้นทักษะด้าน Conversation กันอยู่แล้ว

ดูสื่อของต่างประเทศ แล้วลองฝึกพูดตาม เช่น การดูหนังฝรั่ง ดูรายการทีวี ข่าว ต่างๆ ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะเป็นการออกเสียง ในสำเนียงที่ถูกต้อง นอกจากนั้นแล้วการฝึกพูดแบบนี้ ยังเป็นการฝึกให้เรามีการสนทนา อย่างเป็นธรรมชาติไม่ดูฝืน หรือแข็งเกินไปอีกด้วย ทั้งนี้สมัยนี้การฝึกด้วยวิธีนี้ จะสามารถทำได้ง่ายเพราะมีสื่อต่างประเทศเผยแพร่ผ่านทางอินเตอร์เน็ตให้ได้รับชมกันอยู่แล้ว
เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี เรียนกับสถาบันไหนจึงจะได้ผลที่สุด เรียนที่ไหนใช้เวลาสั้นที่สุด

การเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาไหนก็ตามแต่ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือเราจะเรียนไปเพื่ออะไร แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นเรื่องของการนำไปใช้ในการทำงาน การเตรียมตัวสอบเสียเป็นส่วนใหญ่


การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน

การเรียนเพื่อนำไปใช้ในการทำงานนั้น ขึ้นอยู่กับว่างานนั้นต้องใช้ภาษาอังกฤษด้านใด เน้นการสนทนาเป็นส่วนใหญ่หรือเปล่า ถ้าใช่ควรหาสถาบันที่เน้นการสนทนา ซึ่งถ้าจะให้ดีควรเจาะจงลงไปอีกว่างานของเรานั้นคืออะไร มีสถาบันที่เปิดสอนแบบเฉพาะเจาะจงลงไปอีกหรือไม่ เพื่อเป็นการประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย

เคยเห็นเพื่อนคนหนึ่งมีความรู้ในระดับแค่ชั้น ป. 6 และความรู้ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลยแม้แต่นิด แต่เป็นพนักงานเสิร์ฟอาหารอยู่ร้านฝรั่ง ซึ่งก่อนเข้าทำงานก็ต้องเข้าหลักสูตรอบรมภาษาอังกฤษให้กับพนักงาน ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เพราะว่างานของเขาคือเสิร์ฟอาหาร ภาษาที่ต้องใช้ก็แค่ถามว่าต้องการทานอะไร เอาอะไรเพิ่มไหม อยากได้เสต็กแบบไหน ซึ่งใช้แค่ไม่กี่ประโยคก็สามารถทำงานได้อย่างไม่ติดขัด พอถามว่าถ้าเจอฝรั่งในสถานการณ์อื่นเป็นอย่างไร เพื่อนก็บอกว่าไม่รู้เรื่องเลยเหมือนกัน

การสนทนาก็ไม่ต้องกลัวว่าสำเนียงไม่เหมือน ฝรั่งจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ตรงนี้ขอตอบว่า เขาฟังรู้เรื่อง เหมือนกับที่เราฟังเขาพูดไทยนั่นแหละ ถึงแม้จะพูดสำเนียงไทย แต่ให้พูดชัดๆ เขาก็ฟังออกแล้ว ฉะนั้นไม่ต้องกังวลจุดนี้นะครับ

เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

การเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมตัวสอบ

ก็ถามต่ออีกว่า จะสอบอะไร   TOEFL สอบ TOEIC หรือสอบอื่นๆ ในการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมตัวสอบนั้นไม่ค่อยยากในการเลือกสถาบัน เพราะจะมีหลายสถาบันที่สอนภาษาอังกฤษเพื่อการสอบเฉพาะด้านอยู่แล้ว การจะเลือกสถาบันนั้นต้องดูว่าเขารับประกันคะแนนให้ด้วยหรือเปล่า ถ้ามีก็แสดงว่าเขามั่นใจในคุณภาพของการเรียนการสอนของเขา และยิ่งถ้ามีรุ่นพี่เคยเรียนและกล่าวในแง่ดีด้วยแล้วก็เป็นตัวรับประกันได้ว่า สถาบันนั้นดีจริง

ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
ในปัจจุบันนี้ การเรียนภาษาอังกฤษค่อนข้างมีทางเลือกเยอะเหมือนกัน เพราะสื่อต่างๆ เราสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีสื่อที่หลากหลาย สามารถเรียนรู้ได้เองทุกที่ทุกเวลา  เรียนที่ไหนก็ได้ ค่อยเป็นค่อยไป เพราะการเรียนภาษานั้นเวลาคือสิ่งที่สำคัญ เพราะลองคิดเล่นๆ ดูซิว่า ถ้าวันหนึ่งเราเรียนรู้ได้ 5 ประโยค ถ้าเราอยากเรียนรู้สัก 500 ประโยคต้องใช้เวลานานเท่าใด เพราะอย่าลืมว่าสมองของคนเราไม่สามารถที่จะจดจำอะไรได้ทั้งหมดในช่วงเวลาสั้นๆ กว่าจะเรียนรู้ภาษาให้สามารถใช้งานได้จริงต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร ฉะนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองทีละนิดก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการเรียนรู้ภาษาโดยใช้ต้นทุนที่น้อยที่สุด และอาจจะได้ผลเกินคาดก็ได้

Wednesday, February 15, 2017

เว็บแรก http://www.tolearnenglish.com/ น่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ เป็นเว็บที่สอนภาษาอังกฤษมีทั้งgrammar,vocabulary,test,game andetc...


อ่านเพิ่มเติมได้ที่: http://www.jeban.com/viewtopic.php?t=33690ภาษาอังกฤษสำหรับคนไทยถือว่าเป็นของแสลงนะครับแค่เรียนยังแย่กัน ยิ่งถ้าให้พูดกับชาวต่างชาติเกินครึ่งมีวิ่งหนีแน่ๆครับ

เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องมาฝึกๆๆกันครับ อย่าไปกลัว มาเริ่มจาก 15 เว็ปไซต์ ฝึกพูด + Chat + เรียนภาษาอังกฤษ ดั่งต่อไปนี้ดีกว่าครับ โดยน้องหลิงจากแฟนเพจ เรียนภาษาอังกฤษแบบ American สไตล์ ได้เขียนเอาไว้ มีประโยชน์มากๆเลย

1. Interpals.net

สมัครฟรี
หลายภาษา
มีเวบบอร์ด
คล้ายๆ pen pal แต่เป็นการเขียนข้อความและส่งบนเน็ตเลย
http://www.interpals.net/

2. LiveMocha.com

สมัครฟรี แต่อาจจะต้องเสียตังค์ผ่านในเว็บ
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ (Text) + แชทแบบเสียง (Audio) + แชทแบบวีดีโอ (video)
มีแบบฝีกหัดให้ทำ คนอื่นสามารถมาคอมเม้นท์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้
มีบทเรียนแบบ Interactive
มีคนใช้ประมาณ 16 ล้านคน
เป็นเว็ปของ Rosetta Stone
http://livemocha.com/
**** เว็บนี้หลังๆแนะนำมากๆค่ะ *****

3. Busuu.com

สมัครสมาชิกแบบธรรมดาฟรี + แบบ Premium (เสียตังค์)
หลายภาษา
จะออกแนวเรียนเป็นคลอสๆ แต่ก็สามารถพูดคุยกับชาวต่างชาติได้ด้วย
มีแบบทดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ
มีแอพสำหรับ PC, Tablet, Phones (iOS และ Android)
มีคนใช้ประมาณ 50 ล้านคน
วิดีโออธิบายการใช้งานสั้นๆ: https://www.busuu.com/enc/video

เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

4. italki.com

สมัครฟรี แต่อาจจะต้องเสียตังค์ผ่านในเว็บ
หลายภาษา
เป็นเว็บที่ใช้หาเจ้าของภาษามาเป็นครู คนส่วนตัวผ่านวีดีโอ
มีคนใช้ประมาณ 1.2 ล้านคน
http://www.italki.com/hl/en-us

5. My ExchangeLanguage.com

สมัครฟรี
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ (Text) + แชทแบบเสียง (Audio) + แชทแบบวีดีโอ (video)
สามารถส่งข้อความ ข้อความเสียง และข้อสอบ
มีคนใช้ประมาณ 1 ล้านคน
http://mylanguageexchange.com/

6. Unilang.org

สมัครฟรี
หลายภาษา
มี webooard
มีห้องแชทแบบพิมพ์ (Text)
http://forum.unilang.org/

7. ConversationExchange.com

สมัครฟรี
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ (Text) + แชทแบบเสียง (Audio)
สามารถหาเพื่อนเขียน penpal ได้
สามารถหาเพื่อนฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว
http://conversationexchange.com/

8. Babelyou.com

สมัครฟรี
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ (Text) + แชทแบบเสียง (Audio)
สามารถหาเพื่อนเขียน penpal ได้
สามารถหาเพื่อนฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว

9. How do you do?

สมัครฟรี
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ + วีดีโอแชท
มีคนใช้ประมาณ 45,000 คน
http://howdoyou.do/

10. Speaky

สมัครฟรี
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ + วีดีโอแชท
มีแอพ บน Android
มีคนใช้ประมาณ 30,000 คน
http://www.gospeaky.com/

11. Easy Language exchange

สมัครฟรี
หลายภาษา
คุยแชทแบบเสียง + วีดีโอแชท
มีคนใช้ประมาณ 20,000 คน
http://www.easylanguageexchange.com/

12. LingoGlobe

สมัครฟรี
หลายภาษา
มี Language Forum
มีคนใช้ประมาณ 6,000 คน
http://www.lingoglobe.com/

13. Verbling

สมัครฟรี แต่อาจจะต้องเสียตังค์ผ่านในเว็บ
หลายภาษา
วีดีโอแชทส่วนตัว (Private) + คลาสเล็ก + คลาสร่วม (community + คลาส Live online
https://www.verbling.com/

14 .Language Exchange Project

สมัครฟรี
หลายภาษา
มี Language exchange (คนต่างชาติกันเรียนภาษาของกันและกัน) และ Language Practice (คือคนหลายประเทศ เรียนภาษาเดียวกัน)

15. http://www.sharedtalk.com/

สมัครฟรี แต่อาจจะต้องเสียตังค์ผ่านในเว็บ
หลายภาษา
แชทแบบพิมพ์ (text) + แชทแบบเสียง (Audio)
http://www.sharedtalk.com/

รู้เว็บดีๆอย่างนี้แล้วก็อย่ารีรอครับ รีบไปฝึกภาษาอังกฤษกันเล้ยย โกๆๆๆ

Tuesday, February 14, 2017

ใครบอกว่าไม่สำคัญให้มาลองดูสถานการณ์นี้..


นักเรียนเต็มห้อง ไม่รู้จักใครเลยไปนั่งมุมห้อง  มีหลายคนที่พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าก็พูดได้เยอะ พอถึงตาเรา เรากลับไม่อยากพูด อายเค้า แถมกว่าเราจะพูดออก ก็นั่งเงียบตั้งนาน–กลัวคนอื่นรำคาญ  พอมีงานกลุ่ม..ใครเข้าใจ ทำได้ก็ทำ  เราทำไม่ค่อยได้ ก็ได้แต่นั่งดูคนที่เก่งกว่าทำ  จบคลาสก็กลับบ้าน  ไม่อยากให้อาทิตย์ต่อไปมาเลย..

เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

นักเรียนมีแค่สิบกว่าคน  ที่นั่งมุมห้องไม่มี  ได้นั่งคู่กับคนๆนึง พอได้เริ่มเรียนก็รู้ว่าคนที่เรียนด้วยกันนั้น ระดับภาษาคล้ายของเรา ไม่มีใครเก่งกว่าอย่างชัดเจน จึงทำให้เรากล้าพูดมากขึ้น พอเราพูดผิด เพื่อนๆก็จะช่วยอธิบาย ช่วยกันแก้ให้ ทำให้รู้สึกว่าการเรียนภาษานั้น–เราไม่ได้ต้องสู้คนเดียว แต่มีเพื่อนใหม่ที่ให้กำลังใจกัน  พอถึงงานกลุ่มเราก็รู้สึกว่าความสามารถของเราช่วยกลุ่มได้ ทุกคนช่วยกันทำแล้วนำเสนอ  จำนวนนักเรียนน้อยจึงได้รู้จักทุนคน จบคลาสไปแล้วอยากให้ถึงอาทิตย์หน้าเร็วๆ  จบคอร์สก็ยังติดต่อกันจนวันนี้
โดยส่วนมากนักเรียน จะเจอกับสถานการณ์แรก ซึ่งทำให้เซ็งการเรียนภาษาไปอีกนาน ครูเมเข้าใจว่าการมาเรียนคนเดียวก็น่ากลัวพออยู่แล้ว—แถมมาเรียนสนทนาภาษาอังกฤษอีกต่างหาก  ถ้าสังคมในห้องเรียนไม่ดี จะมีผลกระทบต่อการเรียนภาษาเป็นอย่างมาก

KruMae ได้อ่านจากความประทับใจของนักเรียนหลังจบคอร์สว่า รู้สึกดีแค่ไหนที่ได้เรียน และได้เพื่อนใหม่ที่เข้าใจในการเรียนภาษาและความสำคัญมัน  เมถึงมั่นใจให้ห้องเรียนในแต่ละคลาสมีจำนวนคนน้อย  เพราะอยากให้ทุกคนที่เรียน FMCP English ได้คุณภาพภาษาที่ดี ไม่ใช่ว่าอัดๆ นักเรียนให้เต็มห้องก็พอ–นักเรียนเองก็คงจะเห็นความแตกต่างระหว่างคลาสเล็กๆที่ดี กับคลาสที่อัดๆคนต่างวัยมาเรียนด้วยกัน

ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใด ให้ศึกษาสถาบันที่จะเรียนให้ดีๆ เพราะประสบการณ์ที่คุณจะได้นั้นจะเป็นพื้นฐานในการเรียนภาษาอังกฤษของคุณไปในระยะยาว

Wednesday, February 8, 2017

เชื่อว่าใคร ๆ ก็อยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ อยากส่งให้ลูกไปเรียนพิเศษ แต่คุณจะส่งลูกไปเรียนที่ไหนดี? เปิดอินเตอร์เนทก็มีสถาบันสอนภาษามากมาย ถามบรรดาเพื่อน ๆ ก็ให้คำตอบที่หลากหลาย อันที่จริงแล้วมีห้าปัจจัยหลัก ๆ ที่คุณต้องพิจารณาก่อนเลือกสถาบันสอนภาษาให้กับลูกสุดที่รักของคุณ


1) ค่าเรียน และจำนวนชั่วโมงเรียน

แต่ละสถาบันคิดค่าเรียนแตกต่างกัน มีตั้งแต่หลัก 3,000 ถึง 4,000 บาทต่อคอร์ส เรื่อยไปถึงหลักหมื่นต้น ๆ  จำนวนชั่วโมงเรียนต่อคอร์สมีตั้งแต่ 20, 30 และ 40 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น วิธีการที่ดีคือ เอาจำนวนค่าเรียนต่อคอร์สหารจำนวนชั่วโมง แล้วคุณจะเห็นค่าเรียนคิดเป็นต่อชั่วโมง ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้นว่าคุณพร้อมจะจ่ายหรือไม่

เรียนภาษาอังกฤษ

2) จำนวนนักเรียนในห้องต่อหนึ่งชั้น

สถาบันบางแห่งมีจำนวนนักเรียนต่อชั้นมาก บางแห่งน้อย ยิ่งจำนวนนักเรียนน้อย ยิ่งหมายความว่านักเรียนแต่ละคนมีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ผู้สอนได้มากขึ้น  แต่อย่างไรก็ตามยิ่งนักเรียนน้อย ค่าเรียนอาจจะแพงขึ้น ถ้าเรียนตัวต่อตัวยิ่งแพงขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าค่าเรียนถูกมาก แต่จำนวนนักเรียนต่อชั้นเยอะมาก ก็อาจจะไม่คุ้มค่าก็เป็นได้

3) หลักสูตร

ตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ว่าหลักสูตรใดที่เหมาะกับเด็ก ส่วนใหญ่หลาย ๆ สถาบันจะมีการทดสอบวัดระดับผู้เรียนก่อนลงทะเบียนเรียนอยู่แล้ว ข้อสอบมักประกอบด้วยข้อสอบข้อเขียน และการสอบสัมภาษณ์กับอาจารย์ผู้สอน  บางสถาบันจะคิดค่าทดสอบนี้ด้วย บางแห่งก็ไม่คิด คุณควรตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ด้วยว่า แต่ละหลักสูตร “สัญญา” ว่าจะทำให้ลูกคุณมีพัฒนาการทางภาษาอย่างไรบ้าง บางสถาบันมีให้ทดลองเรียน หรือให้คุณเข้าไปสังเกตการเรียนการสอนอีกด้วย

4) อาจารย์ผู้สอน

ตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ว่าอาจารย์ผู้สอนเป็นอาจารย์ชาวอะไร? จำเป็นหรือไม่ว่าต้องเป็นเจ้าของภาษาเท่านั้น? มีประสบการณ์การสอน มีประกาศนียบัตรรับรองว่าได้รับการฝึกฝนการสอนภาษาอังกฤษให้ชาวต่างชาติหรือไม่? แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ย่อมไม่อยากให้ลูกได้เรียนกับเจ้าของภาษาที่ขาดประสบการณ์ หรือไม่ได้รับการฝึกเรื่องการสอนมาเลย
เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี

5) เวลาเรียน และสถานที่ตั้งของสถาบัน

คุณอยากให้ลูกเรียนช่วงเย็นวันธรรมดา หรือว่าช่วงวันเสาร์ อาทิตย์? ถ้าช่วงวันธรรมดาลูกคุณจะเหนื่อยจากการเรียนปกติที่โรงเรียนมาแล้วหรือไม่? แต่ไม่ว่าเรียนวันไหน ทั้งคุณ และลูกก็ต้องเตรียมใจว่า ต้องเสียเวลาครอบครัวไปส่วนหนึ่ง สถานที่ตั้งของสถาบันก็เป็นเรื่องสำคัญ ว่าคุณต้องใช้เวลาเดินทางไปรับส่งลูกนานแค่ไหน

เรามีสถาบันสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กบางแห่งมาแนะนำให้คุณลองกดเข้าไปศึกษา พร้อมช่องทางให้คุณได้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

British Council http://www.britishcouncil.org/th/thailand.htm
AUA Language Center http://www.auathailand.org/
Inlingua http://www.inlinguabangkok.com/
ECC http://www.ecc.ac.th/blog/
Berlitz http://www.berlitz.co.th/
Edu First http://www.edufirstschool.com/
Topica

สุดท้ายนี้ อย่าคิดว่าแค่การเสียเงินส่งลูกไปเรียนภาษาก็หมดหน้าที่ของคุณแล้ว หรือคิดว่าการส่งลูกไปเรียนสถาบันชั้นนำจะช่วยให้ลูกคุณกลายเป็นเทพภาษาอังกฤษ แต่คุณต้องคอยส่งเสริมให้ลูกได้มีโอกาสใช้ภาษาบ่อย ๆ หรือกระตุ้นให้เด็กได้ทบทวนการใช้ภาษาเรื่อย ๆ เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง เพราะแค่ไปใช้เวลาสัปดาห์ละครั้ง สองครั้งที่สถาบันภาษาเพียงอย่างเดียว ไม่อาจช่วยให้การเรียนรู้ก้าวหน้าได้เต็มที่อย่างแน่นอน

Monday, February 6, 2017

ประสบการณ์การฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ผมเริ่มเรียนภาษาอังกฤษครั้งแรกตอนอายุ 11 ปี ตอนนั้นอยู่ ป.5 ซึ่งเด็กต่างจังหวัดรุ่น ๆ ผม ก็จะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษครั้งแรกในช่วงวัยนั้น หนังสือเล่มแรกคือ English is fun (555 ความจำยังดี) แล้วก็เรียนระดับมัธยม จนจบมหาวิทยาลัย


ผลคือ 12 ปี ผ่านไป ผมไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นเรื่องเป็นราวเลย แม้กระทั่งการบอกทางยังยากเลย และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมพลาดงานดีๆ ไปหลายงาน

เมื่อเจ็ดปีที่แล้วมีรุ่นพี่ท่านหนึ่งซึ่งกำลังเรียนต่อระดับปริญญาเอกอยู่ เดินมาถามว่าสนใจอยากได้บทเรียนภาษาอังกฤษไปเรียนด้วยตัวเองไหม ผมตอบไปทันทีว่าอยากได้ครับ ขอบคุณครับ บทเรียนที่พี่แกเอามาให้คือ English for you ของ BBC ซึ่งผมเคยได้ยินตอนเป็นเด็ก ๆ สโลแกน "ให้คุณพูดคล่องเหมือนเจ้าของภาษา" นั่นคือสิ่งที่เคยได้ยิน แต่ตอนที่ได้มาตอนนั้นยังไม่มีแรงกระตุ้นให้ฝึกสักเท่าไหร่ เพราะยังไม่มีเป้าหมายว่าจะฝึกไปเพื่ออะไร เพราะงานที่ทำก็ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ จนกระทั่งแต่งงาน มีลูก ก็เริ่มมีเป้าหมายอยากให้ลูกพูดสองภาษา และช่วงนั้นกำลังเรียนต่อโท ต้องอ่านบทความภาษาอังกฤษจำนวนมาก และอยากไป conference ภาษาอังกฤษ อีกอย่าง ช่วงนั้นที่ทำงานส่งไปทำ Workshop ที่จัดโดยฝรั่ง ทีนี้ไม่ไหวแล้ว ถ้าไม่เริ่มต้นฝึกคงแย่แน่

เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง

ก็เอาบทเรียนที่พี่คนดังกล่าวมอบให้มาอ่าน มาฟัง และค้นหาวิธีฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเองในอินเตอร์เน็ต ซึ่งตอนนั้นมีไอเดียในหัวคือ อยากได้สื่อที่ฝึกได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเสียตังค์ ไม่ต้องมี partner แล้วก็ได้พบหลายวิธี หลายสื่อ เช่น effortless english ของ AJ Hoge  รายการ OK I get it โดยศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งดำเนินรายการโดยครูเคท แต่ตอนนี้เว็บไซต์ดังกล่าวปิดไปแล้ว และผมก็ฝึกตามแนวทางที่กูรูหลายท่านบอกไว้คือ ฟังมาก ๆ ฟังบ่อย ๆ เลียนแบบพูดให้เหมือนต้นแบบ(ไม่ใช่แค่พูดตามเหมือนตอนอยู่ห้องเรียน) ผลที่ได้คือ ผมฟังออกมากขึ้น สำเนียงในการพูดดีขึ้น แต่...ก็ยังติดปัญหาคือ ไม่มีโอกาสได้ใช้งานก็เลยไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เรามีดีพอหรือยัง

ผมก็เลยคิดว่าฝึกคนเดียวไม่ได้ลงสนามใช้จริงคงไม่เวิร์กแน่ๆ จึงหาสนามซ้อมโดยลองหาในกูเกิ้ลว่า มีเว็บไหนที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนภาษาบ้าง ผมพบว่ามีหลายเว็บไซต์มากที่เป็น Language exchange แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ www.sharedtalk.com  แต่ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว น่าเสียดายมาก เพราะนั่นเป็นที่ที่ทำให้ผมพัฒนาการใช้ภาษาอังกฤษอย่างก้าวกระโดด ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการพูดคุยจริง แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้คนจริง

พอผมฝึกในโลกออนไลน์จนเก่งขึ้นในระดับหนึ่ง ผมก็มีโอกาสได้ใช้งานจริง ๆ ในรู้จักกับเพื่อนชาวต่างชาติจากการทำงานร่วมกัน และเพื่อนเหล่านั้นปัจจุบันยังติดต่อกันอยู่

พอภาษาอังกฤษเราดีขึ้น ผลคือ โอกาสที่เพิ่มมากขึ้น ได้ไปเข้าร่วมสัมมนาที่เป็นภาษาอังกฤษ ฟังสื่อที่มีประโยชน์จาก youtube และแหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้มากขึ้น ได้รับมอบหมายจากที่ทำงานให้ติดต่อกับชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อ ได้ฝึกพูดกับลูกเป็นภาษาอังฤษ มีเพื่อนมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก

แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนัก ผลที่ได้อาจจะไม่ได้เลิศหรูมากแค่พอใช้งานได้ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรมามากพอที่จะแบ่งปันได้ เป้าหมายต่อไปหลังจากนี้คือ ฝึกฝนต่อไป แบ่งปันประสบการณ์ให้คนที่กำลังฝึกอยู่ ฝึกการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ฝึกการเขียนถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ และสร้างรายได้จากการใช้ภาษาอังกฤษ

สรุปจากประสบการณ์
1) ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะฝึกภาษาไปเพื่ออะไร ซึ่งนี่แหละที่สร้างพลังอันไม่จำกัดให้เราทุ่มเทฝึกฝนได้อย่างต่อเนื่องจนสำเร็จ

2) มี Mind set (วิธีคิด) ที่ถูกต้องในการฝึกภาษาอังกฤษ ลบความเชื่อที่ผิด ๆ ทิ้งไป

3) มีวิธีการฝึกที่ดี ฟังให้มาก อ่านให้มาก ฝึก ฝึก ฝึก ซ้อม ซ้อม ซ้อม

4) เลือกฝึกในระดับที่เรารับได้ ไม่ยากหรือง่ายเกินไป เพราะจะทำให้เราขาดแรงกระตุ้นหรือเบื่อในที่สุด

5) มีความต่อเนื่องในการฝึก ปริมาณไม่สำคัญเท่ากับความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ฝึกวันละ 30 นาที ทุกวัน ได้ผลดีกว่า ฝึกหนัก 8 ชั่วโมงต่อวันแต่แค่สัปดาห์ละหนึ่งวัน

6) หาสนามซ้อม ใช้งานจริง อย่าอายที่จะพูด อย่าอายที่จะสื่อสาร การฝึกภาษาก็เหมือนการซ้อมกีฬา การซ้อมอย่างต่อเนื่องจะทำให้เราเก่งขึ้น แต่การได้ลงสนามจริงจะทำให้เราเก่งขึ้นมาก ตื่นเต้นน้อยลง ประหม่าน้อยลง

7) ตั้งเป้าหมายที่กระตุ้นให้เราเติบโตขึ้นอีกนิด เช่น วันนี้พูดแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษได้ พรุ่งนี้จะต้องแนะนำคนในครอบครัวของเราเป็นภาษาอังกฤษให้ได้ เป็นต้น
การฝึกอ่าน “ข่าวภาษาอังกฤษ” มีแต่ข้อดี ดี ดี และดี ทั้งการฝึกเรื่องของไวยากรณ์ สำนวนต่างๆ คำศัพท์ใหม่ๆ แต่เราก็เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีปัญหากับการอ่านข่าวภาษาอังกฤษในช่วงแรกๆ เพราะอ่านแล้ว “ไม่ เข้า ใจ อะไร เลย” ด้วยภาษาที่ค่อนข้างซับซ้อน บางครั้งมีการใช้สำนวนหรือศัพท์ยากๆบางคนก็อาจท้อ โบกมือบ๊ายบายตั้งแต่อ่านย่อหน้าแรกไม่จบ


วันนี้ทาง DailyEnglish เลยตัดสินใจรวบรวมเว็บไซต์ยอดฮิต เหมาะสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ เว็บไซต์เหล่านี้ถูกออกแบบให้เหมาะกับคนที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษ ดังนั้นจึงมีข่าวตั้งแต่ระดับง่าย Basic จนถึงระดับ Intermediate หรือ Advance ไปเลยให้ทุกคนได้ลองฝึกฝนกัน ไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีเว็บไซต์อะไรกันบ้าง จะได้กดติดตาม ถูกใจ หรือแชร์เก็บไว้เป็นอีกแนวทางในการฝึกภาษาอังกฤษกัน

VOA News

VOA หรือ Voice of America ขึ้นชื่อเรื่องการให้ความรู้ภาษาอังกฤษ (สไตล์อเมริกัน) มานาน ซึ่งทาง VOA จะมีข่าวภาษาอังกฤษที่ถูกเขียนให้กระชับ นอกจากนี้ เสียงในเว็บไซต์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อคนฝึกภาษาอังกฤษจริงๆ จึงค่อนข้างช้า และชัดถ้อยชัดคำ มีบทอ่านประกอบให้เห็นชัดๆไปเลยว่าคนอ่านข่าวพูดอะไรอยู่ ฝึกอ่านตามได้สบายๆ มีการให้คำศัพท์ประจำข่าวที่น่าสนใจพร้อมความหมายไว้ทุกข่าว

ถ้าเราอยากโหลดไฟล์เสียงเก็บไว้ฟังเองยามว่างก็สามารถโหลดได้ฟรีไม่มีปัญหา แถมอีกนิด ถ้าเข้าไปอ่านข่าวจาก VOA ลองมองไปทางขวามือ จะเห็นหัวข้อ Word of the day ที่จะนำเสนอคำศัพท์ใหม่ๆทุกวันทั้งการออกเสียงและความหมาย แถมมีแบบทดสอบให้เราทำด้วยว่าเราเข้าใจความหมายของคำศัพท์คำนั้นจริงๆรึเปล่า

BBC

หากเว็บไซต์ด้านบนไม่ตอบสนองความต้องการ เพราะเราอยากฟังสำเนียงอังกฤษแบบ British style มากกว่า ก็ต้องดูของ BBC นี่เลยค่ะ เนื้อหาข่าวในเว็บไซต์นี้จะถูกออกแบบมาให้สั้น แต่ยังคงเนื้อหาข่าวไว้เพื่อคนที่สนใจภาษาอังกฤษ มีการแบ่งระดับของภาษาอังกฤษที่เราต้องการฝึกตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงขั้นสูง มีความพิเศษเพิ่มขึ้นมาเพราะนอกจากจะมีไฟล์เสียงแล้ว ก็ยังมีแบบไฟล์วีดีโอให้ดูกันเพลินๆ เห็นภาพเคลื่อนไหวกันจะๆ (เพียงคลิกเข้าไปในหัวข้อ Lingohack)

เว็บไซต์นี้ค่อนข้างครบวงจรในการฝึก เน้นทักษะการฟังให้เข้าใจ แม้จะไม่ได้ฟังอะไรยาวมาก แต่ก็มีคำศัพท์ใหม่ๆให้รู้ และฝึกออกเสียงตามเสมอ อีกอย่างคือมีแบบฝึกหัดให้ทำทุกข่าวที่ฟัง บอกเป็นขั้นตอนว่าให้เราควรเริ่มทำอะไร ตั้งแต่ก่อนอ่านให้อ่านหัวข้อที่กำหนดให้แล้วลองฟังรอบแรกดูซิว่าข้อไหนพูดถึงข่าวได้ถูกต้องที่สุด ตามมาด้วยการสอนคำศัพท์ แล้วจึงมีคำถามให้เราลองตอบหลังจากได้ฟังเสียง (แน่นอนว่ามีเฉลยให้พร้อมค่ะ) นอกเหนือจากนี้ ถ้ามองไปบริเวณส่วนหัวของเว็บไซต์ก็จะเจออีกหลายบทเรียนให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษกันผ่าน Drama (บทละคร) หรือผ่านบทสนทนาใน 6 Minutes English เรียกได้ว่าสร้างมาเพื่อการฝึกภาษาอังกฤษจริงๆค่ะ

News in levels

News in level คือเว็บไซต์ที่ถูกสร้างมาเพื่อฝึกภาษาอังกฤษให้กับคนทุกคน เว็บไซต์นี้จะมีข่าวต่างๆมาอัพเดทตลอด แล้วทุกข่าวจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ (3 level) ไอ้ระดับนี้ไม่ใช่แค่อ่านเร็วขึ้น หรือช้าลงนะคะ แต่รวมถึงเนื้อหาข่าวที่มีเนื้อหาโดยรวมเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงความยาว ความยากง่ายของศัพท์ จนถึงสำนวน ไวยากรณ์ในข่าวที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละระดับ คือตั้งแต่ระดับง่าย ปานกลาง ถึงขั้นยากที่เป็นตัวข่าวต้นฉบับจริงๆ ถ้าเราลองฟังระดับที่ยาก แม้จะไม่เข้าใจ เราก็จะได้คำศัพท์ใหม่ๆมากมาย จากนั้นค่อยลดระดับลงมาเรื่อยๆจนถึง level 1 ที่เป็นข่าวที่ถูกเขียนโดยใช้ไวยากรณ์และคำศัพท์ที่เข้าใจง่ายต่อให้ไม่มีภาษาไทยกำกับ เราก็สามารถเข้าใจได้แน่นอน

English Club

ปกติแล้วเว็บไซต์ English Club เป็นเว็บไซต์ที่เอาไว้เรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน พร้อมๆกับเป็นที่พึ่งพาของครูภาษาอังกฤษในการหาเรื่องไปสอนในชั้นเรียนอยู่แล้ว แต่หลายๆคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักเว็บไซต์นี้มาก เลยอยากแนะนำให้รู้จักกัน โดยเฉพาะส่วนของการเรียนผ่านข่าว ที่มาพร้อมแบบฝึกหัดที่สมบูรณ์แบบมากสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง

ทุกข่าวจะเริ่มตั้งแต่แนะนำคำศัพท์ พร้อมความหมายที่ควรรู้ประจำข่าวนี้ก่อน แล้วจึงบอกให้เรากดฟังข่าว (ที่ออกเสียงทั้งช้าและชัดไม่ต้องกังวลว่าจะฟังไม่ทัน) ถัดมาจะเป็นสคริปต์ตัวข่าวที่เราฟังนั่นแหละค่ะ แต่จะมีคำที่หายไป ซึ่งคำเหล่านั้นก็คือคำศัพท์ที่เราเรียนไปก่อนหน้านี้ เราฟังแล้วได้ยินคำไหนก็พิมพ์คำนั้นลงไปได้เลย อ่านและฟังซ้ำอีกรอบหลังจากนั้นก็จะมีคำถาม 3 ข้อด้านล่างเพื่อเช็คความเข้าใจ ให้ลองตอบกันเองในใจหรือจดในกระดาษตอบก็ได้ ถ้าทำเสร็จเรียบร้อยก็สามารถตรวจคำตอบโดยคลิกคำว่า See Answer ได้เลย แถมสำหรับใครที่อยากฝึกเพิ่ม เค้าก็จะมีคำถามให้ไว้ลองไปฝึกถกกันเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนกันนอกเวลาก็ได้นะคะ

เว็บเรียนภาษาอังกฤษ

New York Time : Learning Network

อีกหนึ่งเว็บไซต์ยอดฮิต แม้ข่าวส่วนใหญ่ในเว็บไซต์นี้จะเน้นฝึกทักษะการอ่านมากกว่า แต่ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย พร้อมรูปภาพที่ทำเป็นสไลด์เลื่อนดูได้ อ่านเพลินตาดี ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกไวยากรณ์ คำศัพท์ต่างๆไว้ตลอด ที่น่าสนใจสำหรับเว็บไซต์นี้ก็คือ เค้ามีแบบฝึกหัดที่แตกต่างกันไปในแต่ละข่าว บางอันให้เราลองเรียงลำดับเหตุการณ์บ้างว่าอันไหนเกิดก่อนเกิดหลัง มีตอบคำถามหลังจากอ่าน หรือมีแม้แต่เติมคำในช่องว่าง ตอนเข้าไปครั้งแรกอาจตกใจว่าทำไมมีแต่แบบฝึกหัดให้ทำเลย ก็สามารถคลิกเข้าไปดูตรงส่วนหน้าของแต่ละบทความได้ เค้าจะบอกไว้ว่าบทความนี้เอามาจากข่าวต้นฉบับไหนค่ะ

ข้อเสียของเว็บไซต์นี้ก็คือตัวข่าวไม่ค่อยอัพเดทเท่าไหร่ อย่างไรก็หยวนๆได้ค่ะ เพราะเค้าต้องใช้เวลาการเขียนบทความใหม่ให้คนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเข้าใจได้ พร้อมทั้งคิดแบบฝึกหัดเพื่อให้เราได้ฝึกกัน ดังนั้น ถ้าจะหาเว็บไซต์ออนไลน์ฟรีเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ ที่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยล่ะค่ะ

The Guardian

เว็บไซต์นี้เน้นในเรื่องของการฝึกทักษะการอ่าน มีบ้างที่มีไฟล์เสียงให้ได้ฝึกกัน โดยในแต่ละบทอ่านจะบอกระดับความยากง่ายของบทความไว้ด้วย เนื้อหาข่าวถูกดัดแปลงโดยใช้ภาษาที่ง่ายขึ้นตามแต่ละระดับ มีแบบฝึกหัดและบทความให้โหลดเอาไปฝึกได้ฟรี (กรีดร้องด้วยความดีใจดังๆ ถึงออกมาไม่บ่อยแต่ให้ฟรีคือดีงาม) บทความมีให้พร้อมคำศัพท์ที่ควรรู้พร้อมแบบฝึกหัด โดยบางแบบฝึกหัดจะบอกเป็นขั้นตั้งแต่ก่อนอ่านจนกระทั่งอ่านจบ

แบบฝึกหัดก็มีทั้งการจับคู่ความหมาย บอกว่าข้อความใดถูกหรือผิด จนถึงตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านทั่วไป ที่ชอบมากเกี่ยวกับเว็บไซต์นี้คือตัวไฟล์ที่เป็นบทความให้อ่านได้มีหน้าตาที่สวยงาม อ่านง่ายเหมือนอยู่ในหนังสือแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษของเมืองนอก บางอันเหมือนเขียนไว้ให้นักเรียนเอาไปใช้ได้ ครูเอาไปใช้สอนยิ่งดี มีแผนการสอนบทความนั้นให้พร้อม เตรียมให้ขนาดนี้ต้องเอาไปใช้กันบ้างนะคะ

Bangkok Post

เว็บไซต์สุดท้ายที่จะมาแนะนำ และไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Bangkok Post ปกติเราได้ยินชื่อหนังสือพิมพ์ Bangkok Post มานานแล้วใช่มั้ยคะ แล้วมีใครในที่นี้มั้ยคะที่ไม่ทราบเลยว่าเค้ามีเว็บไซต์ข่าวของเค้าด้วย และแน่นอนว่าเค้าก็มีส่วนของข่าวเพื่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยเฉพาะเช่นกัน ข้อดีอย่างหนึ่งเลยของเว็บไซต์นี้คือทำเพื่อหมู่เฮาชาวไทยได้อ่านกัน ในขณะที่เว็บไซต์ข่าวอื่นๆข้างต้นจะออกมาเพื่อคนทั่วโลกภาษาอังกฤษที่เขียนอธิบายคำศัพท์ไว้แม้จะค่อนข้างง่ายแต่ก็เป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี แตกต่างจากของ Bangkok Post ที่มีคำภาษาไทยกำกับอยู่ด้วย

เว็บไซต์จะแบ่งข่าวตามระดับความยากง่าย มีตัวบทความให้อ่านพร้อมๆกับมีไฟล์เสียงให้ฟัง (แถมยังสามารถโหลดเก็บไว้ฟังนอกรอบได้อีกด้วย) ส่วนของคำศัพท์ที่น่าสนใจจะอยู่ล่างสุด แต่พิเศษกว่านั้นคือศัพท์เหล่านี้ที่แทรกอยู่ในบทความเราสามารถเอาเม้าท์ไปคลิกก็จะเห็นความหมายทั้งภาษาไทยและอังกฤษด้วยเลย (ว้าววววว) แต่ละข่าวมีภาพประกอบ คลิปวิดีโอแทรกอยู่ตลอด รับรองว่าอ่านได้เพลินตา แถมได้ความรู้ติดไปเป็นกระบุงแน่ๆค่ะ

นี่คือ 7 เว็บไซต์เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากข่าวที่เรานำมาฝากทุกคนกัน จริงๆมีเว็บไซต์ข่าวมากมายจากหลากหลายสำนัก เช่น cnn.com, nytimes.com, aljazeera.com, chicago.suntimes.com,
reuters.com/news/world, chicagotribune.com

โอยย ให้ไล่ไปอีกก็คงต้องกินอีกหลายบทความ เพราะเยอะแยะมากมายจริงๆ ที่สามารถหาอ่านข่าวเป็นภาษาอังกฤษได้

ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะอ่านเข้าใจก็ลองอ่านจาก 7 เว็บไซต์ที่เราแนะนำก่อนก็ได้ค่ะ แล้วถ้าเริ่มมั่นใจในตัวเองขึ้นแล้วอยากลองอ่านของจริงก็ตามอ่านได้ในช่องทางอื่นๆ ขออย่างเดียว อย่าหยุดที่จะพัฒนาภาษาอังกฤษของเราละกันนะคะ
background