Friday, February 3, 2017

วันนี้นายกั๊กถามกิ๊กมาประโยคนึง…..


Do you want some tea, coffee or me? (เธออยากกินกาแฟ หรืออยากกินชั้น?)

กิ๊กได้แต่ทำหน้าเซ็ง จมูกเผยอบานเล็กน้อยและคิดได้ว่า สมัยนี้ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแล้วนะที่อ่อยได้ ผู้ชายเค้าก็อ่อยกันสุดตัวเหมือนกัน

เรียนภาษาอังกฤษ

คิดว่ากิ๊กจะตอบยังไง? อยากรู้คำตอบ? ลองถามคนที่เธอปลื้มดูสิ แต่ระวังหน่อยนะ เดี๋ยวจะไม่ได้ดื่มทั้งกาแฟ และ… ฮ่าาาา

Note: ธรรมเนียมของฝรั่งส่วนมากจะดื่มชาหรือกาแฟหลังอาหาร เราจึงจะได้ยินประโยคเหล่านี้บ่อยๆ เช่น

Would you like some tea or coffee?

Would you care for tea or coffee?

คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ คือ Tea, please. หรือ Coffee, please.

เรียนภาษาอังกฤษอย่างง่าย

หรือถ้าเจอคำถามเจาะจงว่าต้องการรับกาแฟ/ ชามั้ยคะ

Would you like some coffee?

Would you like some tea?

คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ คือ Yes, please. อย่าลืมส่งยิ้มอ่อนให้คนถามด้วยนะ ^^

Thursday, February 2, 2017


1. Expressions for thanking : การแสดงความขอบคุณ

Thank you for your help/time/support.
ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ / ที่สละเวลา / การสนับสนุนของคุณ

เรียนภาษาอังกฤษ

I really appreciate the help/ time / support you’ve given me.
ฉันรู้สึกซาบซึ้งในความช่วยเหลือ / ที่คุณสละเวลา / ที่คุณสนับสนุนให้กับฉัน

2. Expressions with a future focus : การแสดงความคาดหวัง

I look forward to hearing from you soon.
ฉันหวังว่าจะได้ยินจากคุณเร็วๆนี้

We look forward to a successful working relationshop in the future.
เราหวังว่าในอนาคตเราจะได้ร่วมมือกันทำงานอีกครั้ง

เรียนอังกฤษออนไลน์

3. Expressions for showing them you want to help : การขอความช่วยเหลือ

If you require any further information, feel free to contact me.
หากคุณต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อดิฉันได้เลยค่ะ

Please feel free to contact me if you need any further infomation
กรุณาติดต่อดิฉันได้เลยนะคะ หากคุณต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม

Wednesday, February 1, 2017

สวัสดี เพื่อนๆ เราเห็นว่าช่วงนี้มีเพื่อนๆคนอื่นๆมาแนะนำการฝึกภาษาอังกฤษกัน เราก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่เราทำได้มาให้ทุกคนเป็นวิทยาทานนะ :)


จากแต่ก่อนที่เราไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษเลย ได้คะแนนน้อยมากๆจนเกือบตกมีน (ตอน ม.4) ทีนี้เราก็เลยคิดว่าถ้าเรารู้คำศัำำพท์มากๆเราน่าจะทำคะแนนได้ดีกว่านี้ หลังจากนั้นได้เรา

1.ท่องคำศัำพท์ - มีสมุดบันทึกศัพท์ส่วนตัว คำไหนที่เคยเรียนก็มาจดไว้ แล้วก็ท่องๆๆ ท่องทุกวัน   วันนี้ท่องคำใหม่ 10 -20 คำ ก็ต้องกลับไปท่องคำเก่าที่เคยเรียนมาแล้วด้วย และตอนเดินกลับบ้าน หรือรอรถเมล์ก็หยิบมาท่องตลอด ท่องไปฝึกออกเสียงไปด้วย

เรียนภาษาอังกฤษ

เราเคยฟังในวิทยุ เขาบอกว่า สมองเราถ้าหากว่าฝึกฟังภาษาใดๆเข้าทุกวัน เส้นประสาทในสมองจะคุ้นเคยและทำให้สามารถฟังออกได้ถ้าได้ฝึกฟังบ่อยๆ เหมือนเด็กทารกที่พูดภาษาได้เลยไม่ต้องเรียน
เราจึง

2.ฟังเพลงอังกฤษ พร้อมดูเนื้อเพลง - ครั้งแรกเราจะฟังไม่ออก แต่ถ้าเราได้ดูเนื้อเพลงครั้งนึงแล้ว จะทำให้ครั้งต่อๆไปที่ได้ฟังเพลงนั้น ฟังออกโดยปริยาย จากแต่ก่อนเราฟังเพลงอังกฤษไม่ออกเลย จนทุกวันนี้เราฟังเพลงอังกฤษออกโดยไม่ต้องดูเนื้อเพลงแล้ว (เริ่มฟังตั้งแต่ ม. 4-5) ตอนนี้เรา จะขึ้นปี 2 ละจ้า ประมาณ 2-3 ปี

เรามีเพื่อนออนไลน์ทางเน็ต ตอนปิดเทอมจะขึ้น ปี 1 ก็คุยกันมาเรื่อยๆ ส่วนมากก็จะหาจากเว็ปฝึกภาษาอังกฤษนะ ปลอดภัยด้วย   เราจะเข้ากันได้ดีมากๆเลยละกับเพื่อนคนจีน คนญี่ปุ่น เกาหลี คือความรู้สึกเหมือนได้คุยกับคนชาติเดียวกันแหละ เพราะคุยกับเพืื่อนอายุไล่เลี่ยกันอะ  แต่กับคนฝรั่งบางคน เขาคุยกับเรา ชอบมาคุยทางชู้สาว ทำนองนั้น แต่ถ้าเจอฝรั่งใจดี ก็ช่วยบอกให้ช่วยแก้ภาษาด้วยนะถ้าเราพูดผิด

3. หาเพื่อนต่างชาติคุยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนทางเน็ตนี่แหละ - จะคุยกับคนเอเชียก็ได้ คุย Chat นั่นแหละ ทำให้เราได้เพื่อนด้วย ได้ฝึกใช้ภาษาอังกฤษด้วย เพราะตอนที่เราคุยสมองเราก็ต้องคิดเป็นภาษาอังกฤษเพื่อที่จะเขียนลงไปไง

เรียนภาษาอังกฤษภายใน 3 เดือน

4.ดูหนังอังกฤษ ซับอังกฤษ - อันนี้ช่วยเราได้มากเหมือนกัน เพราะเราจะได้รู้ว่าเขาพูดคำนี้ ออกเสียงสำเนียงแบบนี้นะๆ เพราะบางคำคนไทยออกเสียงกับฝรั่งออกเสียง ไม่ตรงกัน เราจึงฟังเค้าพูดไม่เข้าใจ อย่าดูซับไทยล่ะ ไม่ช่วยเลย แถมได้สำนวนที่คนเมกันพูดกันในชีวิตประจำวันด้วย

พอเราเข้า ปี 1 เราก็ยังกล้าๆกลัวๆที่จะใช้ภาษาอังกฤษอยู่นะ ไม่ค่อยมั่นใจ
เราก็เลยไปจ้างครูฝรั่งเศษมาสอนพูดสนทนาตัวต่อตัว แค่เดือนเดียว ก็เลิก เพราะเราเพิ่งรู้ว่าเราคุยอังกฤษได้ตั้งแต่เรากล้าพูดนั้นแหละ เราก็เลยเลิกเรียน


5. ก่อน 3 เดือนที่จะพูดอังกฤษได้ ~ ตอน เดือนกันยา 55 เรายังพูดไม่ได้ ไม่กล้าพูดเลย หลังจากนั้น ตอน เดือน ธันวา..55 เราพูดได้แล้ว  เพราะเรามีโอกาสได้เจอเพื่อนญี่ปุ่นและเพือนเกาหลีมาทำค่ายในมหาลัยที่ไทย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราต้องพูดเพราะอยากได้เพื่อน นั่นเอง สำเนียงคนเอเีชียจะฟังง่ายมากๆ ให้เริ่มจากตรงนี้ก่อน (คล้ายๆคนไทยพูดอังกฤษนั่นแหละ)หลังจากนั้นเป็นต้นมาเราจึงเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น จึงมั่นใจแล้วว่าตัวเองพูดได้


และหลังจากนั้น พอเราได้มีโอกาสเจอยุโรปมาถามทางพูดภาษาอังกฤษ บลาๆๆใส่เรา เราก็สามารถฟังออกและพูดกับเค้าได้เลย

6.หลังจากนั้น หลังปีใหม่ 56 เรามีโอกาสได้คบกับคนญี่ปุ่น >< ฮี่ๆๆ เราจึงจำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษออนไลน์ ผ่าน Video Calling แบบเห็นหน้า เสมือนได้เจอกันจริงๆ ได้ฝึกพูดและฟัง ผ่าน Skype ทุกวันนั่นแหละ

จนทุกวันนี้ คะแนนภาษาอังกฤษเราท็อปห้องตลอดเลย เพราะที่สำคัญในการใช้แกรมม่า คือ ท่อง ๆๆๆ และใช้ๆๆๆ

~แนะนำ นิตยสาร Future หรือ  IgetEnglish ราคา 25 บาท หาได้ตามร้านหนังสือทั่วได้ ได้แกรมม่าและสำนวนจ้า

7.อยากเก่งแกรมม่าต้องฝึกทำข้อสอบเก่ามากๆ - ทำซ้ำๆนะ อันไหนที่เคยทำแล้วแล้วมันผิดก็กลับมาทำซ้ำใหม่อีกรอบนึง อันนี้ช่วยทำให้เราทำข้อสอบได้ดีมากขึ้นจ้า

***ข้อสำคัญในการเรียนคือ หาแรงจูงใจ ใฝ่ใจรักในภาษาอังกฤษให้ได้
เช่น 1.ได้มีเพื่อนหลายชาติ หลายภาษา 2.ได้เงินเดือนดีงานดี+มีโอกาสได้ไปต่างประเทศ 3.มีแฟนต่างชาติ อิอิ 4.ได้เข้าใจดาราที่ชอบ

นี่ก็เป็นหลักการฝึกของทุกภาษาและนะ ขอให้เด็กไทยกล้าพูดกล้าทำ อะไรก็ทำได้ สู้สู้ !!

Wednesday, January 25, 2017

 “อยากพูดอังกฤษให้เก่งต้องหัดพูด" แต่จะหัดพูดอย่างไรให้ได้ผล? หลายคนยังหาคำตอบไม่เจอว่าที่ผ่านมาฝึกกันอย่างถูกวิธีหรือยัง เพราะส่วนใหญ่คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง มักประสบปัญหาคล้ายๆ กัน คือ เวลาที่ฝรั่งถามมา จะตอบได้แค่เพียงประโยคสั้นๆ อยากพูดยาวๆ แต่ก็พูดไม่ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าภาษาไทยต้องตอบยังไง อยากจะพูดใจแทบขาด แต่ก็ตอบได้แบบตะกุก..ตะกัก ถามคำตอบคำ มันทำให้เราขาดความมั่นใจ ทั้งที่เราเก่งศัพท์ ท่องหลักไวยากรณ์มาแล้วเป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็ยังพูดไม่ได้อยู่ดีต้องทำยังไง? วันนี้ Topica Native มีสูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับพูดอังกฤษอย่างไรให้ไฟแลบมาฝาก ไม่ต้องอ่า..ไม่ต้องเอ่อ..กันให้เสียเวลาไปฝึกพร้อมๆ กันเลย

     
       1. อย่ากลัวความผิดพลาดและกังวลกับหลักไวยากรณ์มากเกินไป
     
        ปัญหาใหญ่สำหรับคนที่กำลังหัดพูดภาษาอังกฤษ ที่ฝรั่งมักจะเรียกว่าเป็นอาการ “mental blocks” คือมีบางสิ่งในจิตใจที่ขัดขวางทำให้ไม่สามารถเข้าใจหรือทำอะไรบางอย่างได้ กลัวว่าจะพูดผิด อายถ้าพูดประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่สมบูรณ์แบบและไม่ถูกต้องเป๊ะๆ ตามหลักไวยากรณ์ ที่ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ความกังวลเหล่านั้นจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดและพูดไม่ได้สักที จำเอาไว้ว่า “การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าความสมบูรณ์แบบ”

เรียนภาษาอังกฤษทุกวัน
   
        ลองนึกภาพ คนๆ หนึ่งพูดว่า “Yesterday I go to party in beach.” ซึ่งประโยคนี้ผิดหลักไวยากรณ์แน่ๆ ที่ถูกต้องคือ “Yesterday I went to a party on the beach.” แต่ทั้งสองประโยคกลับสื่อสารได้ความเดียวกันว่า “เมื่อวานฉันไปปาร์ตี้ที่ชายหาดมา” ความผิดพลาดไม่ใช่สิ่งร้ายแรง ก็แค่ลองใหม่แก้ไขไปเรื่อยๆ หายใจเข้าลึกๆ อย่าอายถ้ามันจะผิดพลาดหรือไม่ถูกหลักไวยากรณ์นัก เพราะการสื่อสารให้เข้าใจกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจำไว้
     
       2. เริ่มต้นจากการฟัง
     
        อยากพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเราต้องเริ่มฟังกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาภาษาอังกฤษ หรือจะดูหนัง ฟังเพลง เลือกแบบที่เราชอบได้เลย สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลยควรเริ่มจากการฟังบทสนทนาง่ายๆ ก่อน จะช่วยให้เราคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา และยังได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่วๆ ไปด้วย ต่างจากการดูหนัง หรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ เพราะอาจจะมีการใช้คำยากๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาดีพอ แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาคอยเปิด Dictionary ตีความหมายแทน
     
        เคล็ดลับในการฟังให้ได้ผลก็คือ “ฟังอย่างเข้าใจ และฟังอย่างต่อเนื่อง” เข้าใจคือเลือกฟังอะไรที่ง่ายไม่ยากเกินไป อย่างเช่น ข่าวภาษาอังกฤษที่ทั้งยากและเร็ว ฟังกี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีวันเข้าใจ ฟังมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไร ดังนั้นเลือกง่ายๆ เข้าไว้แล้วค่อยพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จะดีกว่า และฟังอย่างต่อเนื่อง วันละ 1-2 ชั่วโมง สามารถแบ่งเป็นเช้า 20 นาที เที่ยง 20 นาที และเย็นอีก 20 นาที ก็ได้ ตามสะดวกแต่เน้นว่าต้องฟังทุกวัน ห้ามวันเว้นวันโดยเด็ดขาด แล้วคุณจะเห็นผลที่ตามมาในมีกี่สัปดาห์ คอนเฟิร์ม!!!
     
       3. ฟังแล้วตอบ
     
        การฟังเพื่อให้เราเข้าใจภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและสามารถโต้ตอบได้ ไม่ใช่ฟังซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อให้จำเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการ “ฟังและตอบคำถาม” ในขั้นตอนแรกของการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ดี นั่นคือ การฟังจากบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ เมื่อเราฟังแล้ว ลอง “Pause” ในช่วงของคำตอบ แล้วฝึกตอบอย่างรวดเร็ว จากคำถามที่เราฟัง ฝึกให้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องคิด ภาษาอังกฤษของคุณก็จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติไปโดยปริยาย หรือลองฝึกด้วยการหาติวเตอร์ชาวต่างชาติมาช่วยเล่าเรื่องราวสักหนึ่งเรื่อง เริ่มจากง่ายๆ ก่อน เมื่อเล่าจบให้เขาลองถามคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าให้ฟัง จะทำให้คุณคิดคำตอบได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง
     
       4. เรียนรู้เป็นภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร
     
        ก่อนที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ต้องมีการซ้อม การเตรียมความพร้อม ต้องถามตัวเองก่อนว่ามีคลังคำศัพท์มากพอหรือยัง? เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารหรือพูดภาษาอังกฤษได้นั้นเพราะเราไม่รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเลยไม่รู้ว่าจะตอบฝรั่งชาวต่างชาติได้อย่างไร ท่องจำกันตั้งแต่เล็กจนโตก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง ถึงเวลาจริงก็นึกไม่ออกไม่รู้จะหยิบคำไหนมาใช้ ดังนั้น ต่อไปนี้เราต้องมาเรียนรู้และจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษในรูปแบบใหม่ “เลิกท่องศัพท์ ถ้าอยากพูดภาษาอังกฤษได้” เอ๊ะ...ยังไง!!!
     
        ต้องเลิกท่องคำศัพท์เป็นคำๆ ท่อง 1,000 คำ ก็จำไม่ได้เชื่อเถอะ ลองหันมาใช้วิธีการเรียนรู้คำศัพท์เป็นภาพ และเรื่องราวแทนการจดคำศัพท์เป็นลิสต์ยาวๆ พร้อมคำแปล แล้วนั่งท่องนอนท่อง วิธีนั้นลืมไปได้เลย ลองเปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้คำศัพท์แบบเป็นวลี ไม่จำเป็นคำๆ เวลาที่เจอคำศัพท์ใหม่ๆ ให้จดลงในสมุดโน้ต พร้อมกับวลีสั้นๆ จะทำให้การพูดและหลักไวยากรณ์ของคุณดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

10 เทคนิควิธีพูดอังกฤษให้ไหลลื่น..สำเนียงเลิศ

        5. หยุดท่องหลักไวยากรณ์
     
        เด็กไทยส่วนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษมาพร้อมๆ กับการเริ่มท่องกฎไวยากรณ์ “S. + V.to be + V.เติม ing” เป็น Present Continuous Tense ท่องๆ ไปเรื่อยๆ พร้อมกับคำศัพท์รูปกริยาที่เปลี่ยน ช่อง 1, 2, 3 ถ้าเริ่มต้นด้วยวิธีท่องหลักไวยากรณ์แล้ว 60 เปอร์เซนต์ จะคุยกับฝรั่งไม่ได้เลย อีก 30 เปอร์เซนต์ จะแค่พอพูดได้แบบตะกุกตะกัก ซึ่งมีเพียง 10 เปอร์เซนต์เท่านั้น ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว สำเนียงเป๊ะ เด็กอเมริกันแท้ๆ ไม่เคยต้องเรียน Grammar จนกระทั่งถึงมัธยม บางคนเพิ่งมาเริ่มเรียน Present Tense ตอนอายุ 15-16 ปีแล้ว ด้วยซ้ำ
     
        ถ้าจะฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ได้ต้องหยุดท่องหลักไวยากรณ์ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ผิด เด็กๆ ชาวต่างชาติจะพูดภาษาอังกฤษจากการเรียนรู้เองโดยธรรมชาติ จากการฟัง สังเกตและเลียนเสียงพูดจนคล่องก่อนจะเริ่มเรียนหลักไวยากรณ์ เหมือนเด็กไทยที่เรียนรู้และพูดคำว่า “แม่” จากการฟังและฝึกออกเสียง แล้วค่อยมาเรียนรู้วิธีการผสมคำในภายหลังนั่นเอง จริงๆ แล้วก็ใช้หลักในการเรียนรู้ภาษาเหมือนกันทั่วโลก
     
       6. เรียนรู้แบบช้าๆ แต่ลึกซึ้ง
     
        เคล็ดลับที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้อย่างง่ายดายนั่นก็คือ การเรียนรู้ทุกคำ และทุกวลีอย่างลึก (Deeply) ไม่ใช่แค่เรียนรู้ความหมาย ไม่ใช่แค่จำเพื่อไปทำข้อสอบ แต่คุณจะต้องเรียนรู้มันอย่างลึกซึ้ง ลึกลงไปในสมอง การพูดภาษาอังกฤษให้ได้ง่ายคุณต้องทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ในแต่ละบทเรียน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีหนังสือบทสนทนาภาษาอังกฤษ 1 เล่ม ในบทแรกให้ฟัง 30 ครั้ง ก่อนที่จะผ่านไปบทที่ 2 โดยสามารถแบ่งเป็น 3 ครั้งในแต่ละวัน ให้ทำแบบนี้ไปจนครบ 10 วัน ต่อหนึ่งบท อย่าเพิ่งท้อ ท่องไว้ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ฟังจนฝังลึกลงไปในสมอง ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไปขอเพียงตั้งใจจริง
     
       7. อย่าแปลเป็นไทย
     
        สาเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้ว่าอาจจะฟังออกก็ถาม นั่นก็คือ การแปลประโยคต่างๆ เป็นภาษาไทยก่อนตอบ ซึ่งการพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติคือ ฟัง-คิด-พูด ต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว เพราะฉะนั้น เราควรพยายามแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระบบที่คนไทยส่วนใหญ่คิดคือ ฟังภาษาอังกฤษเข้าหูปุ๊บมาแปลเป็นไทย คิดคำตอบภาษาไทย แล้วแปลตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษอีกที ซึ่งกว่าจะหลุดคำตอบออกมาได้ต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง ผลคือพูดออกมาแบบตะกุกตะกัก ไม่ไหลลื่นและเป็นธรรมชาติ วิธีการเรียนภาษาที่ถูกต้องก็คือ ต้องพยายามแปลให้น้อยที่สุดหรือไม่แปลเลยได้ยิ่งดี เน้นความเข้าใจความหมายเป็นภาพของมันจริงๆ

10 เทคนิควิธีพูดอังกฤษให้ไหลลื่น..สำเนียงเลิศ

        8. เรียนรู้ที่จะคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ
     
        หนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้นั่นก็คือ “การคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ” อีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่ในการเรียนรู้ และจะทำให้คุณพูดได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องอายถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา เพราะไม่มีใครรู้!!!! โดยคุณสามารถทำตามกระบวนการและขั้นตอนได้ ดังนี้
       
       Level 1 : คิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษในแต่ละวันของคุณ
     
       เมื่อคุณตื่นขึ้นมาในตอนเช้าให้คิดคำศัพท์ขึ้นมา 1 ชุด เช่น
     
        bed, toothbrush, bathroom, eat, banana, coffee, clothes, shoes
     
       หรือถ้าคุณกำลังนั่งทำงานอยู่ก็คิดถึงคำศัพท์ขึ้นมาอีก 1 ชุด
     
       car, job, company, desk, computer, paper, pencil, colleague, boss
     
       Level 2 : ลองเอาคำศัพท์มาแต่งให้เป็นประโยค
     
       เมื่อคุณกำลังนั่งกินอาหารกลางวันอยู่ คิด…
     
       • I’m eating a sandwich.
       • My friend is drinking soda.
       • This restaurant is very good.
     
       ขณะที่คุณกำลังนั่งดูทีวีอยู่ คิด…
     
       • That actress is beautiful.
       • The journalist has black hair.
       • He’s talking about politics.
     
       Level 3 : สุดท้ายจินตนาการประโยคภาษาอังกฤษทั้งหมดให้เป็นเรื่องราวขึ้นมาในหัวของคุณ โดยให้คิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เช่นในขณะที่คุณออกกำลังกาย หรือกำลังรอรถไฟฟ้า รถเมล์ ให้ลองนึกบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ บอกเล่าเรื่องราวในหัวคุณให้เป็นภาษาอังกฤษ คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย เพราะนี่เป็นเพียงความคิด ยังไม่ได้พูดจริงๆ
     
       9. พูดด้วยคำศัพท์ที่แตกต่าง ดูดีมีความคิดสร้างสรรค์
     
        สองอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้การพูดภาษาอังกฤษดูไม่คล่องแคล่วมั่นใจ นั่นก็คือ “ไม่รู้ศัพท์ และ การหยุดหรือลังเล” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มักมาพร้อมกันเสมอ หลายครั้งที่คุณพูดภาษาอังกฤษแต่นึกคำศัพท์ไม่ออก นั่นก็เป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เออๆ อ่าๆ...เพราะมัวแต่คิดถึงคำศัพท์ที่เคยท่องไว้ คราวนี้เราลองมาเปลี่ยนวิธีใหม่ ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ลองหาคำอื่นมาอธิบายขยายความเอาก็ได้
     
        ถ้าคุณจะบอกว่า “หัวหอม” ภาษาอังกฤษคือ “onion” แต่นึกคำศัพท์ไม่ออกก็ให้อธิบายไปว่า “the white vegetable that when you cut it you cry” นี่เป็นคำบรรยายที่เข้าใจได้ ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะสื่อสารหมายถึงอะไร รวมไปถึงคำศัพท์อื่นๆ ที่จะใช้แทนกันได้ในภาษาอังกฤษ เช่น การกล่าวทักทาย ที่นอกจาก “hello” แล้วมีคำว่าอะไรบ้าง หรือการกล่าวลา วลีของการล่ำลาในภาษาอังกฤษนั้นก็มีมากมายหลายสถานการณ์ด้วยกัน
     
       10. ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
     
        เปลี่ยนสภาพแวดล้อมของคุณให้เต็มไปด้วยภาษาอังกฤษ ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว แต่ถ้าจะให้ง่ายและรวดเร็วที่สุดนั่นก็คือ “พยายามหาเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ” นอกจากจะได้เพื่อนแล้ว เรายังได้ฝึกภาษาด้วย ที่สำคัญเพื่อนชาวต่างชาตินี่แหละที่จะช่วยคุณแก้ไขคำผิด ทั้งคำศัพท์ รูปประโยคและหลักไวยากรณ์ต่างๆ ให้คุณได้ พยายามหาเพื่อนฝรั่งคุยแชทบ้าง คุย Skype บ้าง เพื่อเป็นการฝึกภาษาและฟังสำเนียงที่ถูกต้องนั่นเอง
     
        แนะนำให้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวันๆ ละ 10 นาที และจะดีมากๆ ถ้าคุณใช้ภาษาอังกฤษมากกว่า 1 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ แม้ว่าคุณจะไม่ได้อยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังมีวิธีอีกมากมายที่จะทำให้ภาษาอังกฤษมีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของคุณ เช่น ฟังภาษาอังกฤษในขณะที่คุณกำลังขับรถไปทำงาน, อ่านข่าวหรือฟังข่าวออนไลน์เป็นภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย, ฝึกการคิดเป็นภาษาอังกฤษในขณะที่คุณกำลังทำงานบ้านหรือออกกำลังกาย, อ่านบทความ ฟังพอดคาสต์ หรือดูวิดีโอภาษาอังกฤษในแบบที่คุณชอบ เป็นต้น

Tuesday, January 24, 2017

การเรียนภาษาอังกฤษอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะการเรียนภาษาอังกฤษในอดีตที่ผ่านมาเน้นให้คุณเรียนแต่โครงสร้างไวยากรณ์และการท่องคำศัพท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เน้นทักษะการสื่อสารเลย ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้นและสะดวกรวดเร็ว


Listen & Speak

แอพพลิเคชั่นนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากฝึกทักษะการพูดเพิ่มเติมนอกชั้นเรียน เพียงแค่คุณใส่ข้อความลงไปในโปรแกรม ฟังเสียง ทำความเข้าใจและพูดตาม เพื่อให้คุณได้วิเคราะห์ได้ถูกจุดว่าคุณติดปัญหาตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของไวยากรณ์ การออกเสียงรวมถึงจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด

Carton - Free English

แอพพลิเคชั่นนี้เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ กับบทเรียนง่าย ประกอบด้วยรูปภาพ คำ เสียงอ่านและการออกเสียงที่ถูกต้อง ช่วยให้คุณได้เรียนรู้คำศัพท์และการออกเสียงอย่างสนุกสนาน

เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

Fluent English

Fluent English เป็นอีกแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่น่าสนใจ ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้คำศัพท์และการออกเสียงได้อย่างแม่นยำ เป็นเหมือนรูปแบบหนังสือเสียง มีเครื่องมือช่วยแปลภาษามากมาย ช่วยให้คุณเข้าใจและออกเสียงคำต่างๆได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงและน้ำเสียงที่ต่างกัน นอกจากนี้แล้วยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเตรียมตัวสอบ ESL หรือ TOEFL รวมถึงการจดจำคำในภาษาอังกฤษและทักษะการฟัง

PvP Phrasal Verbs

แอพพลิเคชั่นสำหรับการเรียนไวยากรณ์ โดยเฉพาะกริยาวลี ซึ่งมีถึง 400 กว่าคำ มีคำอธิบายพร้อมตัวอย่างประโยคช่วยให้คุณเข้าใจรูปแบบในการใช้ที่เหมาะสม เป็นแอพลิเคชั่นที่ใช้ง่าย ทำให้คุณสามารถเรียนรู้กริยาวลีได้มากกว่า 400 คำในไม่ช้า

Monday, January 23, 2017



ขึ้นชื่อว่าเมืองผู้ดีอย่างประเทศอังกฤษนั้น แม้ผู้คนจะไม่ปล่อยคำด่า (swear word) กันออกมาอย่างเป็นธรรมดาแบบชาวอเมริกันที่ดูจะมีระบบระเบียบทางสังคมที่สบายกว่าก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าคนอังกฤษเขาจะด่ากันไม่เป็นเสียทีเดียว และด้วยความที่เขามีระเบียบและขั้นมารยาทที่ชัดเจนมาก คำด่าของคนอังกฤษจึงมีความรุนแรงที่ต่างกันสำหรับในแต่สถานการณ์และความเหมาะสม… วันนี้เรามีคำเหล่านี้มาให้เรียนรู้กัน แต่รู้ไว้ใช่ว่านะจ๊ะ อย่าเอาไปใช้เรื่อยเปื่อยล่ะ เพราะแต่ละคำความหมายแรงไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว

แรงระดับปกติ

คำหยาบที่มีความแรงระดับปกตินี้ ถ้าวัดกันแล้วก็ถือว่าเป็นคำที่สามารถพูดเวลาที่มีเด็กเดินไปเดินมาอยู่ใกล้ ๆ ได้ จะบอกว่าเป็นคำที่มีความรุนแรงที่ได้ยินกันทั่วไปในระดับภาษาพูดก็ได้ ซึ่งก็ได้แก่คำว่า Arse (ก้น), Bloody (ไม่ได้แปลว่าโชกเลือดนะ แต่มีเซ้นส์เหมือนคำว่า freaking ในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน), Bugger (คำนี้แปลว่าการร่วมเพศทางทวารหนัก ใช้พูดเวลารำคาญใครมาก ๆ ก็ไล่ว่า “Bugger off!” – ไปxxxเลยไป), Cow (แม่วัว – ใช้ว่าผู้หญิงอ้วน), Crap (อึ), Damn (แม่ง), Ginger (คำเรียกคนที่มีผมสีแดงโดยธรรมชาติ เซนส์ของคำค่อนข้างไปในทางดูถูก), Git (ไอ้โง่), God / Goddam/Jesus Christ (คำปรามาสโดยอ้างอิงชื่อเฉพาะทางศาสนา) Minger (คน/ของที่น่าเกลียด) และ Sod-off (ไสหัวไป)

แรงระดับปานกลาง

คำที่แรงระดับปานกลางนี้ก็คือคำที่ไม่เหมาะสมที่จะพูดให้เด็กได้ยิน หรือว่าไม่เหมาะที่เด็กก่อนวัยรุ่นจะพูดเนื้องจากความหมายค่อนข้างรุนแรงและมีคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศเยอะมาก ซึ่งก็ได้แก่คำว่า Arsehole (รูทวาร), Balls (อัณฑะ), Bint (เป็นแสลงของคำว่า bitch อีกที), Bitch (ผู้หญิงแรด), Bollocks (อัณฑะ), Bullshit (ตอแหล), Feck (ความหมายเดียวกับคำว่า fuck), Munter (คนอัปลักษณ์/น่าเกลียด), Pissed/pissed off (ทำให้อารมณ์เสีย/ไสหัวไป), Shit (อึ), Son of a bitch (ลูกของหมาตัวเมีย – มักใช้ว่าผู้ชาย) และ Tits (หน้าอก)

แรงมาก

คำที่มีความรุนแรงของความหมายอยู่ในระดับที่แรงมากนั้น ส่วนใหญ่ใครพูดก็ถือว่าหยาบคายทั้งหมด และเป็นคำที่ไม่สมควรพูดให้ติดปากหรือเอามาพูดไปทั่วในทุกสถานการณ์เพราะความหมายของคำนั้นรุนแรงและหยาบคายมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคำพูดเหล่านี้ก็มักจะได้ยินเขาพูดกันในหมู่เพื่อนฝูงที่สนิทเหมือนกัน แต่หากไม่สนิทแล้วมีคนมาพูดคำเหล่านี้ให้ฟังก็ให้เอะใจได้ว่ากำลังโดนด่าแน่ๆ เชียว คำหยาบคายที่มีความรุนแรงของความหมายในระดับแรงมากก็มีคำว่า Bastard (ไอ้เบื๊อก), Beaver (อวัยวะเพศหญิง), Beef curtains (เนื้อบริเวณอวัยวะเพศหญิง/แคม), Bellend (ความหมายเดียวกับ dickhead) , Bloodclaat (ประจำเดือน – คำด่าที่แรงมากของจาไมก้า คนอังกฤษเอามาใช้), Clunge (อวัยวะเพศหญิง), Cock (องคชาติ), Dick (องคชาติ), Dickhead (หัวคxx), Fanny (อวัยวะเพศหญิง), Flaps (เนื้อบริเวณอวัยวะเพศหญิง/แคม), Gash (ปากช่องคลอด), Knob (องคชาติ), Minge (ขนบริเวณอวัยวะเพศหญิง), Prick (องคชาติ), Punani (อวัยวะเพศหญิง), Pussy (อวัยวะเพศหญิง), Snatch (อวัยวะเพศหญิง) และ Twat (อวัยวะเพศหญิง)

แรงมากที่สุด

แน่นอนว่าคำด่าที่มีระดับความหยาบคายและความรุนแรงสูงที่สุดนั้นเป็นคำที่ไม่ควรเที่ยวเอาไปพูดเล่นในสถานที่ใด ๆ หรือแม้กระทั่งสถานการณ์ไหนทั้งนั้น เพราะว่าคำเหล่านี้เป็นคำหยาบคายชนิดที่ว่าจะทำให้คนที่ได้ยินคุณพูดมองคุณด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปตลอดกาลได้ คำด่าที่มีระดับความรุนแรงสูงที่สุดนั้นมีอยู่สามคำด้วยกัน ได้แก่ Cunt (ช่องคลอด), Fuck (การมีเพศสัมพันธ์ – ภาษาระดับหยาบคาย), Motherfucker (เXดแม่/แม่เXด)

จริงๆ แล้วคำด่าก็มีอยู่ในวัฒนธรรมการสื่อสารจองทุกชาติทุกภาษานั่นแหล่ะ และมันก็มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องใต้สะดือเสียส่วนมาก ดังนั้นแล้วมันจึงไม่เหมาะสมเลยถ้าเราจะเอามาพูดเป็นคำติดปาก แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้นนั่นแหล่ะจ้ะ ว่าไม่ว่าคำศัพท์อะไรก็ตาม เราเรียนภาษาอังกฤษก็รู้เอาไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามเนอะ

ในบรรดาคำศัพท์จำนวนมากที่ถูกนำไปเพิ่มในพจนานุกรมของอ๊อกซ์ฟอร์ดแต่ละปีๆ ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเดี๋ยวนี้ไม่ได้มาจากภาษาพูดหรือคำแสลงที่สื่อสารกันทางปากอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าเราสื่อสารกันผ่านอินเตอร์เน็ตมากขึ้นใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้นคำศัพท์แสลงที่เป็นภาษาเขียนจึงมีมากพอๆ กับภาษาพูด และเมื่อเราใช้คำเหล่านี้ผ่านอินเตอร์เน็ตมากๆ เข้า มันก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของภาษาพูดจนพจนานุกรมต้องจับมาอธิบายความหมายเอาไว้เผื่อชนรุ่นหลังมาเห็นแล้วจะได้เข้าใจว่าเราพูอะไรกันอยู่นั่นแล วันนี้ DailyEnglish มีคำเหล่านี้มานำเสนอถึง 5 คำด้วยกันค่ะ



1. Selfie

คำนี้แน่นอนว่าใครๆ ก็ต้องรู้จักเพราะว่าพูดกันจนติดปากไปแล้ว ตามพจนานุกรมแล้วคำนี้มีความหมายว่า “ภาพถ่ายของผู้ที่ถ่ายด้วยตัวเอง โดยทั่วไปแล้วจะถ่ายจากสมาร์ทโฟนหรือกล้องเว็บแคมแล้วอัปโหลดขึ้นบนหน้าอินเตอร์เน็ต” ซึ่งที่มาของคำนี้ก็คือในอินเตอร์เน็ตเขาใช้เรียกภาพที่เราถ่ายกันด้วยกล้องหน้ามาตั้งแต่โทรศัพท์มือถือเริ่มมีกล้องหน้าแล้ว พจนานุกรมของอ๊อกซ์ฟอร์ดจึงจับใส่เป็นคำศัพท์ในเล่มเสียเลยเมื่อปี 2013

2. Twerk

ถ้าคร่ำหวอดอยู่ในวงการอินเตอร์เน็ตของวัยรุ่นอเมริกันแล้วไม่เคยเห็นศัพท์คำนี้ก็คงจะแปลกน่าดู คำว่า Twerk (ทฺเวิร์ก) มีความหมายตามพจนานุกรมว่า “การเต้นตามเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมด้วยท่าทางยั่วยวนซึ่งส่วนใหญ่ก็จะต้องขยับสะโพกขึ้นลงและยืนถ่างขา” เชื่อว่าต้นกำเนิดของคำคำนี้เกิดมาจากคำว่า “work” เพราะพวกนักเต้นทั้งหลายจะถูกเชียร์ให้เต้นด้วยคำว่า “work it!” เลยคาดว่าอาจจะมีการเพิ่มตัว t เข้าไปข้างหน้าเพื่อให้หมายความไปถึงคำว่า twist (บิด/ส่าย) ได้ด้วย ซึ่งเขาก็เพิ่มใส่พจนานุกรมกันไปเมื่อปี 2013 เช่นกัน

3. Photobomb

เอาล่ะ คำนี้จะเห็นกันบ่อยในวงการดารา เพราะเรามักจะเก็นดาราคนโน้นคนนี้เค้า “โฟโต้บอม”  กันตามพรมแดงของงานใหญ่ๆ คำคำนี้มีความหมายตามพจนานุกรมว่า “ภาพเสียของคนๆ หนึ่งซึ่งเข้าไปอยู่ในเฟรมตอนที่คนอื่นกำลังถ่ายภาพอยู่ โดยทั่วไปแล้วถือเป็นการแกล้งหรือการเล่นตลก” ซึ่งจุดกำเนิดของการ photobomb กันนี้มีมาตั้งแต่สมัยวง The Beatles ดังๆ แล้วแต่หลังจากมีอินเตอร์เน็ตแล้วก็มีการแชร์รูปต่อๆ กันไป การแกล้งกันประเภทนี้ก็เหมือนจะกลายเป็นวัฒนธรรมในหมู่คนดังไป สุดท้ายก็เลยต้องจับมาใส่ในพจนานุกรมในปี 2012

4. Hashtag

เมื่อก่อนนี้คนที่จะคุ้นเคยกับคำว่า Hashtag (แฮช-แทก) ก็คือคนที่เล่นทวิตเตอร์ใช่ไหมคะ แต่ในปัจจุบันนี้เฟซบุ๊กก็สามารถติดแฮชแทกได้แล้วเช่นกัน คำคำนี้ในพจนานุกรมมีความหมายว่า “ข้อความใดๆ ก็ตามที่ตั้งตามหลังเครื่องหมาย # ใช้ในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างเช่น ทวิตเตอร์ เพื่อเจาะจงข้อความนั้นๆ” นั่นเอง ถึงแม้ว่าสัญลักษณ์ # จะไม่ได้เพิ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นมาในอินเตอร์เน็ต แต่การใช้งานของมันในลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นมาจากในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเดี๋ยวนี้เวลาวัยรุ่นบางคนอยากจะเน้นอะไรเวลาคุยกับเพื่อนๆ ก็จะนำหน้าประโยคนั้นด้วยคำว่า hashtag นั่นเอง

5. Troll

สิ่งนี้ล่ะค่ะ คือสิ่งที่เห็นกันทั่วไปตามหน้าอินเตอร์เน็ตแล้วก็เป็นปัญหาสำหรับบางคนพอตัว เพราะว่า troll เนี่ย เป็นพฤติกรรมที่ทำให้คนทะเลาะกันผ่านอินเตอร์เน็ตมากที่สุเลยล่ะค่ะ ในพจนานุกรมเขาระบุความหมายของศัพท์คำนี้เอาไว้ว่า “กริยาของคนที่โพสต์ข้อความใดๆ ที่ทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนถูกว่าหรือว่าทำให้เขาโมโหเพื่อที่จะให้เขาตอบกลับมาอย่างกราดเกรี้ยว” ซึ่งมันมีที่มามาจากยักษ์โทรล หรือว่าที่สมัยนี้เขาไปใช้อธิบายการตกปลา ซึ่งก็คือการตกปลาด้วยการโยนเบ็ดลงไปแล้วล่อให้ปลาติดกับ เหมือนกับการที่ใครบางคนทิ้งข้อความเอาไว้ให้คนอื่นโกรธภายหลังนั่นเอง
background